เรื่อง ศาลเมืองแกลง
ประวัติความเป็นมาของเมืองแกลง เริ่มจากท่าเรือสำคัญ 2 แห่งในอดีตคือ "ท่ากระทุก" หรือ "ท่าบรรทุก" ซึ่งใช้ในการขนถ่ายสินค้า และ "ท่าตะราง" ซึ่งใช้เป็นที่คุมขังนักโทษหรือสอบสวนคดี นอกจากนี้ยังกล่าวถึง "ศาลเมืองแกลง" ซึ่งเป็นสถานที่พิจารณาคดีความต่างๆ
ในอดีต เมืองแกลงขึ้นกับเมืองจันทบุรี ก่อนการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม การชำระคดีความยังคงดำเนินไปตามกฎหมายเก่า ดังที่ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสจันทบุรี มีการกล่าวถึงกรมการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีความ รวมถึงตำแหน่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาลยุติธรรม เช่น พนักงานบรรเทาทุกขราษฎร์, พนักงานปรับสัตย์ความ, พนักงานนครบาล, พนักงานความมรดก, พนักงานทำหางว่าวสักเลก, ที่ปรึกษาขุนศาล, ขุนศาลชำระความอาญา และล่ามจีน
จากหลักฐานเอกสารระบุว่าศาลเมืองแกลงมีผู้พิพากษาชั้น 3 ซึ่งมีอำนาจในการออกหมายจับผู้ต้องหา, บังคับหรือส่งตัวคนไปต่างแขวง, ออกหมายค้นของกลาง, ออกหมายเรียกพยานและคู่ความ, ไต่สวนคดีที่มีโทษหลวง, พิจารณาและพิพากษาคดีลหุโทษ (จำไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50 บาท) และความแพ่ง (ทุนทรัพย์หรือเบี้ยปรับไม่เกิน 50 บาท) ส่วนคดีที่มีโทษถึงประหารชีวิตจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลมณฑล และต้องนำขึ้นกราบบังคมทูลฯ ก่อนได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจึงจะดำเนินการตามคำพิพากษาได้
ในอดีต การพิสูจน์การกระทำผิดเน้นวิธีโบราณ เช่น ดำน้ำ ตอกขมับ ลุยเพลิง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งศาลหัวเมืองเพื่อให้มีความทันสมัยและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติมากขึ้น
ศาลเมืองแกลงได้พิจารณาคดีมาหลายปี จนกระทั่งมีหนังสือกระทรวงยุติธรรมลงวันที่ 8 ตุลาคม ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) โดยพระยานครไภยพิเฉท อธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑลจันทบุรีเสนอให้ยกเลิกศาลเมืองแกลง เนื่องจากมีคดีน้อย และอำเภอแกลงได้ถูกรวมเข้ากับเมืองระยองแล้ว ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็เห็นชอบด้วย และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการได้
บทความสรุปว่า เมืองแกลงในอดีตเป็นเมืองที่มีความเจริญไม่แพ้เมืองอื่นๆ ในภาคตะวันออก และความสำเร็จในอาชีพต่างๆ ของคนเมืองแกลงในปัจจุบันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลทางความคิดและสิ่งแวดล้อมต่างๆ จากบรรพบุรุษ.
ประวัติความเป็นมาของเมืองแกลง เริ่มจากท่าเรือสำคัญ 2 แห่งในอดีตคือ "ท่ากระทุก" หรือ "ท่าบรรทุก" ซึ่งใช้ในการขนถ่ายสินค้า และ "ท่าตะราง" ซึ่งใช้เป็นที่คุมขังนักโทษหรือสอบสวนคดี นอกจากนี้ยังกล่าวถึง "ศาลเมืองแกลง" ซึ่งเป็นสถานที่พิจารณาคดีความต่างๆ
ในอดีต เมืองแกลงขึ้นกับเมืองจันทบุรี ก่อนการจัดตั้งกระทรวงยุติธรรม การชำระคดีความยังคงดำเนินไปตามกฎหมายเก่า ดังที่ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสจันทบุรี มีการกล่าวถึงกรมการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีความ รวมถึงตำแหน่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาลยุติธรรม เช่น พนักงานบรรเทาทุกขราษฎร์, พนักงานปรับสัตย์ความ, พนักงานนครบาล, พนักงานความมรดก, พนักงานทำหางว่าวสักเลก, ที่ปรึกษาขุนศาล, ขุนศาลชำระความอาญา และล่ามจีน
จากหลักฐานเอกสารระบุว่าศาลเมืองแกลงมีผู้พิพากษาชั้น 3 ซึ่งมีอำนาจในการออกหมายจับผู้ต้องหา, บังคับหรือส่งตัวคนไปต่างแขวง, ออกหมายค้นของกลาง, ออกหมายเรียกพยานและคู่ความ, ไต่สวนคดีที่มีโทษหลวง, พิจารณาและพิพากษาคดีลหุโทษ (จำไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50 บาท) และความแพ่ง (ทุนทรัพย์หรือเบี้ยปรับไม่เกิน 50 บาท) ส่วนคดีที่มีโทษถึงประหารชีวิตจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลมณฑล และต้องนำขึ้นกราบบังคมทูลฯ ก่อนได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจึงจะดำเนินการตามคำพิพากษาได้
ในอดีต การพิสูจน์การกระทำผิดเน้นวิธีโบราณ เช่น ดำน้ำ ตอกขมับ ลุยเพลิง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการจัดตั้งศาลหัวเมืองเพื่อให้มีความทันสมัยและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติมากขึ้น
ศาลเมืองแกลงได้พิจารณาคดีมาหลายปี จนกระทั่งมีหนังสือกระทรวงยุติธรรมลงวันที่ 8 ตุลาคม ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) โดยพระยานครไภยพิเฉท อธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑลจันทบุรีเสนอให้ยกเลิกศาลเมืองแกลง เนื่องจากมีคดีน้อย และอำเภอแกลงได้ถูกรวมเข้ากับเมืองระยองแล้ว ซึ่งกระทรวงมหาดไทยก็เห็นชอบด้วย และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ดำเนินการได้
บทความสรุปว่า เมืองแกลงในอดีตเป็นเมืองที่มีความเจริญไม่แพ้เมืองอื่นๆ ในภาคตะวันออก และความสำเร็จในอาชีพต่างๆ ของคนเมืองแกลงในปัจจุบันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการได้รับอิทธิพลทางความคิดและสิ่งแวดล้อมต่างๆ จากบรรพบุรุษ.